Lie to Me
"หยุดหลอกตัวเองเสียที"
คําปรามาสที่เคยชินชากำลังล่องลอยผ่านทะลุเข้าไปในรูหูข้างซ้ายก่อนจะส่งกระแสประสาทเข้าสู่สมองซีกขวา ในเวลาที่ใครซักคนมองเห็นว่าสิ่งที่เราลงมือทำมันช่างดูไร้สาระเสียเหลือเกิน บางสิ่งที่ความพยายามไม่สามารถเปลี่ยนแปลงให้เป็นไปอย่างที่ใครต้องการ เหมือนฉันกำลังสร้างวิมานในอากาศ บนพื้นที่ความว่างเปล่าที่ฉันสร้างขึ้นมาเพื่อหลอกตัวเอง
ทั้งที่วิมานนั้นไม่เคยมีอยู่จริง ทุกครั้งที่เรื่องโกหกเหล่านั้นได้ถูกป่าวประกาศออกไป นั่นคงคล้ายเป็นจุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงเรื่องราวโกหกที่เป็นอยู่ให้กลายเป็นความจริงทีละเล็กทีละน้อย
"Lie to Me" ซีรี่ย์เกาหลีอีกเรื่องหนึ่งที่นำเอาเรื่องราวโกหกพกลมมาสร้างความสัมพันธ์อันยุ่งเหยิงให้ตัวละครผูกพันใกล้ชิดกันอย่างลึกซึ้ง ไม่แตกต่างอะไรกับตัวเอกในละครหลังข่าวช่องสามสีที่เพิ่งจบลงไป วิมานบนดินที่กบและบัวช่วยกันก่อร่างสร้างตัวจนสุดท้ายการเป็นบทสรุปให้เรื่องราวจบลงตัวอย่างบริบูรณ์ไร้คำติฉินและนินทา
ฤาการโกหกตัวเองวันละนิดจะทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงได้จริงๆ
ก่อนที่จะคิดโกหกกันเกินเลยไปกว่านี้ ผมว่าเราลองมาฟังนิทานอีสปเรื่องใหม่ล่าสุดกันสักเรื่อง (เชื่อไหมว่าผมกำลังโกหก)
เมื่อไม่นานมานี้ ในหมู่บ้านบนเนินเขาอันเงียบสงบมีเด็กน้อยคนหนึ่งที่ดูน่ารักและนิสัยดี ทุกๆเช้าเด็กน้อยจะต้อนฝูงวัวไปกินหญ้าบริเวณชายป่าที่ติดกับริมแม่น้ำโขง
เด็กน้อยทำกิจวัตรเหล่านี้ทุกวันจนรู้สึกเบื่อหน่าย และคิดริอยากหาอะไรสนุกๆทำ
ในเช้าวันนี้ที่ฟ้ามืด+หม่นๆเด็กน้อยจึงแกล้งร้องตะโกนออกไปว่า
“ช่วยด้วยจ้า ! ช่วยด้วยจ้า….พวกโจรป่ามาขโมยวัวแล้ว…ช่วยด้วยเจ้าข้า…”
ชาวบ้านต่างแห่กันมา บ้างถือคราด บ้างถือมีดพร้า บ้างถือเคียวเกี่ยวข้าว
แต่เมื่อพวกเขามาถึงกลับไม่พบร่องรอยของโจรป่าสักหางอึ่ง
เด็กน้อยยังไม่หยุดริสนุก เขายังคงตะโกนซ้ำๆอย่างนี้เป็นครั้งที่สองและสามในเช้าวันถัดไป
ทุกครั้งที่เรื่องโกหกเหล่านั้นได้ถูกป่าวประกาศออกไป นั่นคงคล้ายเป็นจุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงเรื่องราวโกหกที่เป็นอยู่ให้กลายเป็นความจริงทีละเล็กทีละน้อย (เหมือนว่าผมจะเขียนซ้ำกับประโยคนี้)
เช้าวันที่สี่ในขณะที่เด็กน้อยเฝ้าฝูงวัวอยู่ริมแม่น้ำโขง เมื่อความริสนุกได้หดหาย เขาได้แต่นอนไกวเปลที่ผูกเชื่อมอยู่ระหว่างต้นมะขามสองต้นแล้วผลอยหลับไป
ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งที่เขาโกหกกำลังจะกลายเป็นความจริง
เด็กน้อยตื่นมาพร้อมกับภาพฝูงวัวที่อันตรธานหายไป พร้อมกับส่งเสียงตะโกนด้วยสุ่มเสียงดังกว่าเดิม แปลกที่ไม่มีใครต้องการจะรับรู้เรื่องราวซ้ำๆซากๆนี้อีกต่อไป
เรื่องราวของเด็กเลี้ยงวัวกับโจรป่าจึงถูกเล่าขานสืบต่อมาจนถึงตอนนี้
การโกหกอาจนำมาซึ่งหายนะที่เรียกว่าความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ
เมื่อยิ่งเริ่มโกหกกับใจของตัวเองมากขึ้นเท่าไร
ความรู้สึกที่เก็บซ่อนไว้ก็จะกลายเป็นความจริงในไม่ช้า
และเมื่อถึงตอนนั้นเราอาจจะไม่สามารถรับรู้ถึงความรู้สึกที่แสนดีที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านั้นอีกเลย
แท้จริงศิลปะของการโกหกคือการสร้างสรรค์มิใช่การทำลาย
เราอาจเคยชินกับคำว่า "โกหก" ที่ถูกแปดเปื้อนไปด้วยสิ่งเลวร้ายมาเนิ่นนาน
ฤาเรายังจดจำคำๆนี้ในเชิงทำลายมากกว่าการสรรสร้าง
แต่การโกหกเพื่อหลอกตัวเองให้ริเริ่มทำสิ่งสร้างสรรค์นั้นช่างแตกต่าง
หากมันกลับสร้างพลัง ความเชื่อ และความมุ่งมั่นให้แก่เรา
ยิ่งฉันวาดวิมานได้เสมือนจริงมากเท่าไร
ก็ยิ่งเหมือนว่าฉันกำลังย่องเท้าเบาๆเข้าไปสู่ที่นั่นเร็วขึ้นเท่านั้น
หากวิมานนี้คือสิ่งที่ฉันเห็นอยู่ตรงหน้าตลอดเวลา
หรือที่นี่คือสถานที่ที่คนอื่นๆเรียกกันว่า "วิมานดิน"
"หยุดหลอกตัวเองเสียที"
คําปรามาสที่เคยชินชากำลังล่องลอยผ่านทะลุเข้าไปในรูหูข้างซ้ายก่อนจะส่งกระแสประสาทเข้าสู่สมองซีกขวา ในเวลาที่ใครซักคนมองเห็นว่าสิ่งที่เราลงมือทำมันช่างดูไร้สาระเสียเหลือเกิน บางสิ่งที่ความพยายามไม่สามารถเปลี่ยนแปลงให้เป็นไปอย่างที่ใครต้องการ เหมือนฉันกำลังสร้างวิมานในอากาศ บนพื้นที่ความว่างเปล่าที่ฉันสร้างขึ้นมาเพื่อหลอกตัวเอง
ทั้งที่วิมานนั้นไม่เคยมีอยู่จริง ทุกครั้งที่เรื่องโกหกเหล่านั้นได้ถูกป่าวประกาศออกไป นั่นคงคล้ายเป็นจุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงเรื่องราวโกหกที่เป็นอยู่ให้กลายเป็นความจริงทีละเล็กทีละน้อย
"Lie to Me" ซีรี่ย์เกาหลีอีกเรื่องหนึ่งที่นำเอาเรื่องราวโกหกพกลมมาสร้างความสัมพันธ์อันยุ่งเหยิงให้ตัวละครผูกพันใกล้ชิดกันอย่างลึกซึ้ง ไม่แตกต่างอะไรกับตัวเอกในละครหลังข่าวช่องสามสีที่เพิ่งจบลงไป วิมานบนดินที่กบและบัวช่วยกันก่อร่างสร้างตัวจนสุดท้ายการเป็นบทสรุปให้เรื่องราวจบลงตัวอย่างบริบูรณ์ไร้คำติฉินและนินทา
ฤาการโกหกตัวเองวันละนิดจะทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงได้จริงๆ
ก่อนที่จะคิดโกหกกันเกินเลยไปกว่านี้ ผมว่าเราลองมาฟังนิทานอีสปเรื่องใหม่ล่าสุดกันสักเรื่อง (เชื่อไหมว่าผมกำลังโกหก)
เมื่อไม่นานมานี้ ในหมู่บ้านบนเนินเขาอันเงียบสงบมีเด็กน้อยคนหนึ่งที่ดูน่ารักและนิสัยดี ทุกๆเช้าเด็กน้อยจะต้อนฝูงวัวไปกินหญ้าบริเวณชายป่าที่ติดกับริมแม่น้ำโขง
เด็กน้อยทำกิจวัตรเหล่านี้ทุกวันจนรู้สึกเบื่อหน่าย และคิดริอยากหาอะไรสนุกๆทำ
ในเช้าวันนี้ที่ฟ้ามืด+หม่นๆเด็กน้อยจึงแกล้งร้องตะโกนออกไปว่า
“ช่วยด้วยจ้า ! ช่วยด้วยจ้า….พวกโจรป่ามาขโมยวัวแล้ว…ช่วยด้วยเจ้าข้า…”
ชาวบ้านต่างแห่กันมา บ้างถือคราด บ้างถือมีดพร้า บ้างถือเคียวเกี่ยวข้าว
แต่เมื่อพวกเขามาถึงกลับไม่พบร่องรอยของโจรป่าสักหางอึ่ง
เด็กน้อยยังไม่หยุดริสนุก เขายังคงตะโกนซ้ำๆอย่างนี้เป็นครั้งที่สองและสามในเช้าวันถัดไป
ทุกครั้งที่เรื่องโกหกเหล่านั้นได้ถูกป่าวประกาศออกไป นั่นคงคล้ายเป็นจุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงเรื่องราวโกหกที่เป็นอยู่ให้กลายเป็นความจริงทีละเล็กทีละน้อย (เหมือนว่าผมจะเขียนซ้ำกับประโยคนี้)
เช้าวันที่สี่ในขณะที่เด็กน้อยเฝ้าฝูงวัวอยู่ริมแม่น้ำโขง เมื่อความริสนุกได้หดหาย เขาได้แต่นอนไกวเปลที่ผูกเชื่อมอยู่ระหว่างต้นมะขามสองต้นแล้วผลอยหลับไป
ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งที่เขาโกหกกำลังจะกลายเป็นความจริง
เด็กน้อยตื่นมาพร้อมกับภาพฝูงวัวที่อันตรธานหายไป พร้อมกับส่งเสียงตะโกนด้วยสุ่มเสียงดังกว่าเดิม แปลกที่ไม่มีใครต้องการจะรับรู้เรื่องราวซ้ำๆซากๆนี้อีกต่อไป
เรื่องราวของเด็กเลี้ยงวัวกับโจรป่าจึงถูกเล่าขานสืบต่อมาจนถึงตอนนี้
การโกหกอาจนำมาซึ่งหายนะที่เรียกว่าความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ
เมื่อยิ่งเริ่มโกหกกับใจของตัวเองมากขึ้นเท่าไร
ความรู้สึกที่เก็บซ่อนไว้ก็จะกลายเป็นความจริงในไม่ช้า
และเมื่อถึงตอนนั้นเราอาจจะไม่สามารถรับรู้ถึงความรู้สึกที่แสนดีที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านั้นอีกเลย
แท้จริงศิลปะของการโกหกคือการสร้างสรรค์มิใช่การทำลาย
เราอาจเคยชินกับคำว่า "โกหก" ที่ถูกแปดเปื้อนไปด้วยสิ่งเลวร้ายมาเนิ่นนาน
ฤาเรายังจดจำคำๆนี้ในเชิงทำลายมากกว่าการสรรสร้าง
แต่การโกหกเพื่อหลอกตัวเองให้ริเริ่มทำสิ่งสร้างสรรค์นั้นช่างแตกต่าง
หากมันกลับสร้างพลัง ความเชื่อ และความมุ่งมั่นให้แก่เรา
ยิ่งฉันวาดวิมานได้เสมือนจริงมากเท่าไร
ก็ยิ่งเหมือนว่าฉันกำลังย่องเท้าเบาๆเข้าไปสู่ที่นั่นเร็วขึ้นเท่านั้น
หากวิมานนี้คือสิ่งที่ฉันเห็นอยู่ตรงหน้าตลอดเวลา
หรือที่นี่คือสถานที่ที่คนอื่นๆเรียกกันว่า "วิมานดิน"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น