Beyond Creative, We do

FB:Theexplorerphotographer

test

วันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2558

START AGAIN

START AGAIN

* * * * * * * * * *



(1)
"เรื่องราวจริงๆมันอาจจะไม่ได้จบลงเหมือนตอนที่เราเห็นอยู่ในภาพยนตร์ก็เป็นได้" ผมจำต้องยอมสบถถ้อยคำคอมเม้นต์ส่วนตัวออกมาแบบไม่ต้องคิด หลังจากที่ได้รับชมภาพยนตร์แอคชั่นสุดตระการตา และดูเหมือนหนังจะถูกทำออกมาเพื่อความมันส์เพียงอย่างเดียวจนน่าหมั่นไส้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ที่มีชื่อไทยอันเก๋ไก๋สไลด์เดอร์ว่า "นักฆ่าเอโพดำ"

ภาพยนตร์เรื่องนี้ว่าจ้างให้ เจสัน สเตทแธม ผู้รับบทบาทหนังแอคชั่นอันเลื่องชื่อมาแล้วหลายต่อหลายเรื่องในเวลานี้ ในนามของ นิค ไวลด์ เขาต้องทำตัวเป็นนักฆ่าอำมหิตเลือดเย็น แต่ที่น่าจะเหนือความคาดหมายก็คือนักฆ่าผู้นี้ไม่มีอาวุธทำลายล้างอย่างปืนผาหน้าไม้อย่างในหนังเรื่องอื่นๆ แต่อุปกรณ์ที่เขาใช้จัดการกับศัตรูให้อยู่หมัดคือสิ่งที่อยู่รอบกาย อาทิ เช่น ช้อน ส้อม หรือไม่ก็บัตรอิเลคโทรนิกส์คมๆเพียงใบเดียว

ภาพยนตร์ดำเนินเรื่องมาได้ครึ่งทาง ผมก็ยังคงเดาไม่ออกว่าผู้กำกับจะทำให้หนังจะไปจบลงแบบไหน หากหญิงสาวที่ นิค ไวลด์ กลับไปช่วยแก้แค้นให้ เขาไม่ได้รับเงินแล้วรีบบึ่งรถจากไป เราคงได้เห็นฉากจบที่พระนางคู่นี้จะกอดจูบดูดดื่มกันใต้แสงจันทร์อย่างที่เคยเป็นมา

แต่แล้วผู้กำกับก็สลับสับเปลี่ยนบทจนน่าประหลาดใจ จากนักฆ่าผู้ยิ่งใหญ่กลับถูกปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นนักพนันผู้ได้รับเงินก้อนใหญ่ ความโลถ ความฟุ้งซ่าน ความได้มาง่ายจนเกินไป กลายเป็นคติสอนธรรมช่วงหนึ่งที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ฝังเอาไว้ในบทอย่างแนบเนียน

ถึงตอนจบทำเอาผมงงกันไปใหญ่ เมื่อพระเอกได้ถูกไล่ล่าจนบีบให้เขาต้องเข่นฆ่าคู่อาฆาตจนเลือดสาดกันไปถึงไหนต่อไหน หากโลกของความเป็นจริงเขาคงต้องถูกตำรวจจับไปขึ้นโรงขึ้นศาลกันต่อไป ตอนจบคงไม่ใช่แค่เพียงฉากขับรถของผู้กระทำความผิดหลบนี้ไปอยู่ในที่พำนักใหม่ ที่อยู่ไกลแสนไกลออกไป

(2)
หากจะให้ดาวกับภาพยนตร์ที่ดูแล้วอินที่สุดในตอนนี้ ผมคงต้องขอยกให้กับ "The Age of Adaline" ภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกดีไซน์ออกมาได้อย่างอบอุ่นและโรแมนติก แถมยังมีความเป็นไซ-ไฟปนอยู่นิดๆที่ทำให้บางช่วงบางตอนของภาพยนตร์เรื่องนี้ยิ่งน่าสนใจ

ตอนดูตัวอย่างภาพยนต์ทีแรกผมกลับคิดไปเองว่าภาพยนตร์เรื่องนี้คงจะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับชีวประวัติรักของ Adaline เป็นแน่แท้ เพราะชื่อหนังก็บอกเป็นนัยๆอย่างนั้นอยู่ แต่พอได้รับชมแบบตัวเต็มจริงๆ ผมจึงเข้าใจว่า Age ที่อยู่ในชื่อเรื่องนั้นเป็นตัวแปรที่สำคัญในการดำเนินเรื่องของ Adaline จริงๆ

ท่ามกลางจุดสิ้นสุดยังคงมีจุดสิ้นสุดของจุดสิ้นสุดอีกหลายๆครั้ง อาจเป็นเพราะความรักของ Adaline ไม่ได้จบลงตรงท้ายเรื่องเหมือนภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ แต่มันกลับมาจบลงตั้งแต่ต้นเรื่อง เมื่อสามีของเธอเสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ และทิ้งลูกสาวให้เธอไว้เลี้ยงดูเพียงลำพัง

ภาพยนตร์อาจจบลงโดยที่เธอยังเป็นแม่หม้ายลูกติด ทว่าหนังเรื่องหนึ่งของชีวิตย่อมมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นอยู่เสมอ ด้วยอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ที่วงการวิทยาศาสตร์ยังมิสามารถล่วงรู้ถึงผลลัพธ์จากกระแสไฟล้านโวลต์ที่เกิดขึ้นกับสาววัยกลางคนนี้ ในวันวัยที่ล่วงเลยไปตามกาลเวลากลับไม่ได้ทำร้ายผิวพรรณอันเปล่งปลั่งของ Adaline ให้เหี่ยวย่นลงเลยแม้แต่น้อย ทว่าความคงกระพันกลับทำให้เธอเอาแต่หลบซ่อนตัวเองและเปลี่ยนสถานที่พำนักไปเรื่อยๆ จนเธอจำต้องครุ่นคิดและตัดสินใจเลือกที่จะไม่ให้เกิดความสัมพันธ์อันแนบแน่นกับใครก็ตามที่ผ่านเข้ามา

ยิ่งหนีไปไกลเท่าไร Adaline จึงค้นพบความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง เธอเพียงกลัวว่าทุกอย่างจะจบลงด้วยเหตุผลที่เธอคิดมันขึ้นมาเอง เมื่อคนเราต่างก็ต้องถูกกาลเวลาพัดพาให้สภาพร่างกายเปลี่ยนแปลงไป ความแก่ชราจึงเป็นศิลปะของการครองคู่ที่จักต้องพาลพบไปด้วยกัน มันคงมิใช่การปล่อยให้ใครเพียงหนึ่งคนต้องแก่ชราลงไปพร้อมกับวัยวันที่นิ่งดูดายของอีกฝ่าย หัวใจที่ร่ำไห้ต่อความกลัวจึงทำให้เธอไม่กล้าที่จะเริ่มต้นใหม่กับใครอีกเลย

ทว่าทุกๆจุดที่จบย่อมให้กำเนิดการเริ่มต้นครั้งใหม่ขึ้นได้อีกครา ท้ายที่สุดเธอจึงเลิกวิ่งหนีความกลัวนั้นแล้วเผชิญหน้ากับสิ่งที่เธอต้องการจริงๆ การค้นพบการโคจรของดวงดาวในวันนี้อาจเกิดจากการคาดคะเนที่ผิดพลาดของเราในวันนั้น หากเราก็เป็นเพียงแค่มนุษย์ที่มิอาจคาดคะเนความรู้สึกของใครคนหนึ่งได้อย่างถูกต้องแม่นยำนัก บางครั้งเราอาจไม่จำเป็นต้องลองคิดเผื่อเอาไว้ไปถึงเรื่องราวต่างๆนานา เพียงแค่เราส่งมอบความรู้สึกที่จริงใจให้แก่เขา แล้วสักวันหนึ่งถ้าเขาเห็นค่า เขาจะรีบมารับมันไปเอง

(3)
ผมอาจติดนิสัยที่แย่ๆซะจนเกินจะเยียวยา เนื่องจากผมมักจะหยุดสานต่อบางเรื่องราวไปอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยแบบไม่มีเงื่อนไข หากค้นพบว่าเรื่องๆหนึ่งมันจะกระทบกระทั่งและก่อให้เกิดปัญหาอีกมากมายตามมา ผมจะหยุดมันเอาไว้แบบนั้นโดยที่จะไม่ยอมบอกกล่าวให้ใครต่อใครได้รับรู้เลย

อาจเป็นเพราะความเชื่อที่ว่าเมื่อหยุดอยู่ตรงนี้แล้ว ผลลัพธ์ที่ไม่ดีไม่งามจะได้ไม่ลุกลามกลายเป็นเชื้อไฟกองใหญ่โต แต่บางครั้งมันก็กลับทำให้ผมเองต้องมาจมจ่ออยู่กับความสับสนอันยิ่งใหญ่ บ่อยครั้งที่เราอาจคาดคะเนผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั้นผิดไป การกลับไปยังจุดเริ่มต้นใหม่อาจจะยากขึ้นและใช้เวลาที่ยาวนานยิ่งกว่าเดิม

"หากวันหนึ่งที่เธอจะต้องเสียสิ่งนั้นไป เธอจะรู้สึกอย่างไร" ถ้อยคำตอกย้ำจากเพื่อนข้างกายปลุกให้ผมต้องกลับไปรื้อฟื้นเรื่องราวที่เคยหยุดเอาไว้นั้นอีกครั้ง ผมจึงค้นพบว่าความไม่แน่ใจหลายๆเรื่องยังคงเกาะกินฝังแน่นลึกอยู่ในความคิดและไม่เคยจากไปไหน บางเรื่องราวยังคงหลอกหลอนและสั่งสมให้กลายเป็นความกลัวเกิดขึ้นในจิตใจ หนทางสู่การเริ่มต้นใหม่จำต้องถูกปิดกั้นไปด้วยขวากหนามที่มากกกว่าเดิม

กลัวที่จะล้มเหลว กลัวที่จะผิดพลาด กลัวผลลัพธ์จะไม่ได้เป็นไปตามที่คาดคะเน ผมเพิ่งค้นพบว่าความกลัวเหล่านั้นได้หล่อหลอมให้ความรู้สึกในวันนั้นกลายเป็นความทรงจำแบบผิดๆ ทุกความคิดที่ดีๆจึงได้แต่หยุดชะงักเมื่อเจอกับความไม่แน่ใจในครั้งใหม่ หากพรุ่งนี้ผมจำต้องพาลพบกับอุปสรรคที่ยังไม่ค่อยมั่นใจ กำแพงความกลัวที่ฝังตรึงแน่นนี้จะกลับมากระซิบข้างหูให้ผมรีบหยุดทำมันต่อในทันที

ทว่าจุดจบของจุดจบอาจเป็นจุดกำเนิดครั้งใหม่ เมื่อหัวใจที่เคยบอบช้ำกลับแข็งแรงได้ดั่งปาฏิหาริย์ ราวกับเสียงดนตรีได้ปลุกให้เราลุกขึ้นมาค้นพบความจริงแท้ที่เคยต้องการ เมื่อถึงวันนั้นเราจะขจัดความกลัวออกไปให้สิ้นและหลงเหลือทิ้งไว้เพียงความมั่นใจครั้งใหม่ของตัวเอง

ความกลัวมักถูกขจัดด้วยความกลัว เราอาจใช้ความกลัวที่จะเสียสิ่งที่รักปรับเปลี่ยนเป็นความกล้าหาญอันยิ่งใหญ่ เพียงแต่ค่อยๆค้นหาวิถีทางที่จะทำให้เราถนอมสิ่งที่เรารักให้คงอยู่ตลอดไป เราอาจค้นพบตอนจบแบบ นิค ไวลด์ ที่ได้กอดจูบดูดดื่มกับ Adaline อย่างมั่นใจ โดยที่ไม่ต้องกลับไปยังจุดเริ่มต้นใหม่อีกครั้งเหมือนที่แล้วมา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

มิงกะลาบา ความหวังใหม่ใต้เปลือกตา

มิงกะลาบา ความหวังใหม่ใต้เปลือกตา

ล้านนาแค่ขยิบตา

ล้านนาแค่ขยิบตา
บันทึกการเดินทางจำนวนสิบสี่ตอนที่จะเปลี่ยนมุมมองทุกการเดินทางให้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

Ads

Most Popular