VACATION TIME
* * * * * * * * * *
แด่เวลาเชื่องช้าที่ได้นำพาให้ชีวิตของเราได้กลับมามองเห็นธรรมชาติที่น่าอัศจรรย์ อากาศที่บริสุทธิ์ได้พาออกซิเจนเข้าไปเคลื่อนไหวให้ทั่วปอดพร้อมๆกับการสูบฉีดก้านสมองให้รีบสิ้นเสียความคิดไปชั่วขณะ บรรยากาศที่แสนชวนเพลินตาทำให้หัวใจเราได้หยุดพักไปกับสิ่งที่เคยคิดว่ามันยิ่งใหญ่ ทว่าความจริงแล้วตัวตนของมนุษย์ผู้ดิ้นรนอยู่ในเมืองใหญ่ทั้งหลายไม่ได้ใหญ่โตค้ำฟ้าไปได้ตลอดกาล
ช่วงนี้กลายเป็นสัปดาห์ที่ผมได้ค้นพบความรู้สึกมากมายที่ปะปนมาในข่าวสารจากคนที่รู้จัก บ้างก็กำลังมีข่าวดีในเร็ววัน บ้างก็มีข่าวร้ายปะปนมาตามกัน หลายคู่จูงมือเข้าสู่ประตูวิวาห์กันอย่างอึกทึกครึกโครม บางคนได้รับช่อดอกไม้ที่เป็นผลลัพธ์มาจากการฝ่าฟันประตูแห่งศึกษา แต่ก็มีบางคู่ที่ต้องจากกันไปไกลเพราะคนหนึ่งนั้นมีความหวังว่าความฝันที่เขาวาดไว้จะต้องเกิดขึ้นในเมืองที่ห่างออกไปไกลสุดสายตา บางทีเราอาจมองข้ามความหมายของชีวิตที่เรานั้นก็เคยต่างค้นหา เพียงแค่ความต้องการในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนั้นผิดเพี้ยนไป
ผู้คนอาจแสดงความยินดีในวันที่เราต่างมีความสุข แต่มีบางครั้งบางวันที่ความทุกข์ก็ไม่สามารถเอามาแชร์ให้ใครได้เห็นจนเป็นข้อครหา สำหรับใครบางคนที่จำต้องเก็บกดความรู้สึก-สักวันมันอาจเป็นบาดแผลที่ลึกจนเกินจะเยียวยา จนวันหนึ่งเราจะค้นพบมันว่าความสุขที่ถูกแชร์ในวันก่อนนั้น มันไม่ได้คุ้มค่ากับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้เลย
เราต่างเป็นมนุษย์ผู้ที่มีความรู้สึกไม่จีรัง แถมยังเอนเอียงไปตามอิทธิพลรอบข้างได้เสมอ ยิ่งจม-ยิ่งจ่อ-ยิ่งดราม่า-ความรู้สึกในวันนั้นก็ยิ่งจะฝังรากลึกจนเกินจะเยียวยา ความรู้สึกดีๆที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันข้างหน้าคงยากที่จะเกิดกับหัวใจของเรา
แม้ไม่อาจหลีกหนีทุกๆเรื่องราวที่ผ่านพ้น การผจญต่อภัยอันคาดไม่ถึงจึงกลายเป็นสิ่งที่เราต้องกล้าค้นหา บางครั้งการล้มลงบนทางเดินที่คุ้นเคยอาจทำให้เราสามารถลุกขึ้นได้ด้วยการพยุงจากผู้คนที่อยู่ในระยะสายตา ความหมายของการใช้ชีวิตในวันข้างหน้าอาจหมายถึงความสัมพันธ์ของผู้คนที่อยู่ข้างกัน
ปล่อยให้สายน้ำพัดพากอสวะให้ล่องลอยไปตามเส้นทาง แล้วค่อยๆสดับรับฟังเสียงนกกาที่บินมาเกาะตามเสาไฟฟ้าอย่างใจเย็น เป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่เราต่างได้ทิ้งตัวตนและหัวใจให้มันได้ทำงานอย่างที่มันควรจะเป็น จากนั้นค่อยๆปิดหน้าต่างโลกโซเชียลที่ผู้คนต่างแชร์ความรู้สึกเอาไว้ ก่อนที่ความรู้สึกดีๆของเราในตอนนี้จะจางหายไป
* * * * * * * * * *
แด่เวลาเชื่องช้าที่ได้นำพาให้ชีวิตของเราได้กลับมามองเห็นธรรมชาติที่น่าอัศจรรย์ อากาศที่บริสุทธิ์ได้พาออกซิเจนเข้าไปเคลื่อนไหวให้ทั่วปอดพร้อมๆกับการสูบฉีดก้านสมองให้รีบสิ้นเสียความคิดไปชั่วขณะ บรรยากาศที่แสนชวนเพลินตาทำให้หัวใจเราได้หยุดพักไปกับสิ่งที่เคยคิดว่ามันยิ่งใหญ่ ทว่าความจริงแล้วตัวตนของมนุษย์ผู้ดิ้นรนอยู่ในเมืองใหญ่ทั้งหลายไม่ได้ใหญ่โตค้ำฟ้าไปได้ตลอดกาล
ช่วงนี้กลายเป็นสัปดาห์ที่ผมได้ค้นพบความรู้สึกมากมายที่ปะปนมาในข่าวสารจากคนที่รู้จัก บ้างก็กำลังมีข่าวดีในเร็ววัน บ้างก็มีข่าวร้ายปะปนมาตามกัน หลายคู่จูงมือเข้าสู่ประตูวิวาห์กันอย่างอึกทึกครึกโครม บางคนได้รับช่อดอกไม้ที่เป็นผลลัพธ์มาจากการฝ่าฟันประตูแห่งศึกษา แต่ก็มีบางคู่ที่ต้องจากกันไปไกลเพราะคนหนึ่งนั้นมีความหวังว่าความฝันที่เขาวาดไว้จะต้องเกิดขึ้นในเมืองที่ห่างออกไปไกลสุดสายตา บางทีเราอาจมองข้ามความหมายของชีวิตที่เรานั้นก็เคยต่างค้นหา เพียงแค่ความต้องการในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนั้นผิดเพี้ยนไป
ผู้คนอาจแสดงความยินดีในวันที่เราต่างมีความสุข แต่มีบางครั้งบางวันที่ความทุกข์ก็ไม่สามารถเอามาแชร์ให้ใครได้เห็นจนเป็นข้อครหา สำหรับใครบางคนที่จำต้องเก็บกดความรู้สึก-สักวันมันอาจเป็นบาดแผลที่ลึกจนเกินจะเยียวยา จนวันหนึ่งเราจะค้นพบมันว่าความสุขที่ถูกแชร์ในวันก่อนนั้น มันไม่ได้คุ้มค่ากับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้เลย
เราต่างเป็นมนุษย์ผู้ที่มีความรู้สึกไม่จีรัง แถมยังเอนเอียงไปตามอิทธิพลรอบข้างได้เสมอ ยิ่งจม-ยิ่งจ่อ-ยิ่งดราม่า-ความรู้สึกในวันนั้นก็ยิ่งจะฝังรากลึกจนเกินจะเยียวยา ความรู้สึกดีๆที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันข้างหน้าคงยากที่จะเกิดกับหัวใจของเรา
แม้ไม่อาจหลีกหนีทุกๆเรื่องราวที่ผ่านพ้น การผจญต่อภัยอันคาดไม่ถึงจึงกลายเป็นสิ่งที่เราต้องกล้าค้นหา บางครั้งการล้มลงบนทางเดินที่คุ้นเคยอาจทำให้เราสามารถลุกขึ้นได้ด้วยการพยุงจากผู้คนที่อยู่ในระยะสายตา ความหมายของการใช้ชีวิตในวันข้างหน้าอาจหมายถึงความสัมพันธ์ของผู้คนที่อยู่ข้างกัน
ปล่อยให้สายน้ำพัดพากอสวะให้ล่องลอยไปตามเส้นทาง แล้วค่อยๆสดับรับฟังเสียงนกกาที่บินมาเกาะตามเสาไฟฟ้าอย่างใจเย็น เป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่เราต่างได้ทิ้งตัวตนและหัวใจให้มันได้ทำงานอย่างที่มันควรจะเป็น จากนั้นค่อยๆปิดหน้าต่างโลกโซเชียลที่ผู้คนต่างแชร์ความรู้สึกเอาไว้ ก่อนที่ความรู้สึกดีๆของเราในตอนนี้จะจางหายไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น