ล้านนาแค่ขยิบตา #
(ขยิบตาครั้งที่สี่)
ณ ต้นอุโมงค์
เมื่อแสงแรกเริ่มทอดสะพานให้เห็นธรรมชาติรอบข้างได้อย่างชัดเจน ดูเหมือนว่าสรรพสิ่งรอบตัวตอนนี้ล้วนมีแต่ความเชื่องช้าตามความสามารถเท่าที่มันควรจะเป็น
ใบไม้สีเขียวสดสะบัดริ้วรับกับสายลมเบาๆ แดดอ่อนๆส่องลงมาตรงบริเวณที่ต้นมอสส์กำลังแบ่งตัวอย่างเชื่องช้าปกคลุมตามทางเดินที่ทอดยาว ป้ายคติธรรมที่ถูกร้อยเชือกห้อยเป็นแผงกำลังเปล่งเสียงกระซิบเบาๆคอยเตือนสติในทุกย่างก้าวที่เดินผ่าน
ผมกำลังเดินผ่านเสาอโศกต้นใหญ่ที่ตั้งทัดทานกับท้องฟ้า ไปยังป้ายปริศนาธรรมที่ถูกจารึกไว้ตั้งแต่พุทธศักราชที่ 400 ร่องรอยของธรรมชาติยังคงถูกจารึกไว้ตามซอกหลืบของปริศนาเหล่านี้ได้อย่างคมคาย
"รีบเข้ามาในนี้เถอะ ยังมีอะไรให้น่าชมอีกเยอะเลย"
เสียงเรียกจากพี่ชายคนหนึ่งดังออกมาจากต้นอุโมงค์ที่สลัวๆ
ผมกำลังย่างสามขุมเข้าไปในส่วนอุโมงค์ทึบ พร้อมนิ้วชี้ที่พร้อมจะลั่นชัตเตอร์ได้เสมอ หากพบว่ามุมๆไหนมีแสงสว่างที่เพียงพอให้พอเก็บภาพได้
กลิ่นธูปและเทียนที่ถูกจุดอยู่ภายในอุโมงค์ทึบดูเหมือนจะอบอวลชวนแสบตาเป็นระยะๆ ก่อนที่สายตาของผมจะเริ่มปรับตัวให้เข้ากับแสงที่สลัวๆนี้ได้
ยังดีที่ภายในอุโมงค์แห่งนี้ยังมีหลอดไฟขนาดเล็กนำทางให้การเดินด้วยสองลำแข้งไม่ต้องระมัดระวังมากนัก ผมจึงมีโอกาสให้สายตาข้างหนึ่งได้มองผ่านเลนส์และเก็บภาพต่างๆได้อย่างสบาย
ต้นอุโมงค์ดูมืดมิดเหมือนถูกผนึกปิดไว้ด้วยกำแพงหนา
บางทีความมืดก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวเสมอไป
ทุกครั้งที่ม่านหมอกความมืดเริ่มเข้ามาปกคลุม สายตาของเราจะเริ่มพล่ามัว อีกทั้งหัวใจจะเริ่มตอบโต้โดยการปิดกั้นตัวเองออกจากทุกสิ่งทุกอย่าง รวมทั้งจากทุกๆคนที่เราเคยรู้จัก
หลายวันมานี้เพื่อนที่มีชื่อว่าความมืดมิดก็เคยเข้ามาเยี่ยมเยือนผมเช่นกัน เขาพยายามสอนให้ผมรู้จักการยอมรับมากกว่าการยอมแพ้ เขาบอกกับผมว่าเมื่อถึงเวลาที่พอเหมาะแสงนั้นจะส่องทางด้วยตัวของมันเอง เหมือนดั่งแสงสว่างที่รอคอยอยู่ ณ ปลายอุโมงค์
ผมพยายามหลับตาข้างหนึ่งเพื่อขยิบตาอีกข้างหนึ่งตามคำบอกกล่าวที่เพื่อนคนนี้ฝากเอาไว้ก่อนจะเดินลับไป
ภาพที่ปรากฏยังคงมืดสนิทเหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง หรือหัวใจดวงนี้ถึงคราที่จะต้องยกธงขาวโบกรับความพ่ายแพ้แทนการยอมรับ คล้ายความมืดมิดได้เกาะกินหยั่งลึกเกินกว่าจะเยียวยาแล้วหรือ
ไม่นานนักก็มีเงาเล็กๆขยับเขยื้อนผ่านหน้าผ่านตาผมไป ทันใดนั้นก็มีเสียงวัตถุหล่นกระทบกับพื้น ผมก้มกลับไปมองวัตถุนั้นก่อนที่จะหยีตาข้างซ้ายมองตามไปข้างหน้าอีกครั้ง แปลกจริงที่ความมืดนั้นกลับหายไป แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์นั้นมีอยู่จริง
ผมชักเริ่มเข้าใจความหมายที่เพื่อนคนนี้เคยบอกไว้
ปลายอุโมงค์จะมีแสงสว่างที่สวยงามเสมอ
แค่ผมไม่ลืมเปิดฝาเลนส์
(ขยิบตาครั้งที่สี่)
ณ ต้นอุโมงค์
เมื่อแสงแรกเริ่มทอดสะพานให้เห็นธรรมชาติรอบข้างได้อย่างชัดเจน ดูเหมือนว่าสรรพสิ่งรอบตัวตอนนี้ล้วนมีแต่ความเชื่องช้าตามความสามารถเท่าที่มันควรจะเป็น
ใบไม้สีเขียวสดสะบัดริ้วรับกับสายลมเบาๆ แดดอ่อนๆส่องลงมาตรงบริเวณที่ต้นมอสส์กำลังแบ่งตัวอย่างเชื่องช้าปกคลุมตามทางเดินที่ทอดยาว ป้ายคติธรรมที่ถูกร้อยเชือกห้อยเป็นแผงกำลังเปล่งเสียงกระซิบเบาๆคอยเตือนสติในทุกย่างก้าวที่เดินผ่าน
ผมกำลังเดินผ่านเสาอโศกต้นใหญ่ที่ตั้งทัดทานกับท้องฟ้า ไปยังป้ายปริศนาธรรมที่ถูกจารึกไว้ตั้งแต่พุทธศักราชที่ 400 ร่องรอยของธรรมชาติยังคงถูกจารึกไว้ตามซอกหลืบของปริศนาเหล่านี้ได้อย่างคมคาย
"รีบเข้ามาในนี้เถอะ ยังมีอะไรให้น่าชมอีกเยอะเลย"
เสียงเรียกจากพี่ชายคนหนึ่งดังออกมาจากต้นอุโมงค์ที่สลัวๆ
ผมกำลังย่างสามขุมเข้าไปในส่วนอุโมงค์ทึบ พร้อมนิ้วชี้ที่พร้อมจะลั่นชัตเตอร์ได้เสมอ หากพบว่ามุมๆไหนมีแสงสว่างที่เพียงพอให้พอเก็บภาพได้
กลิ่นธูปและเทียนที่ถูกจุดอยู่ภายในอุโมงค์ทึบดูเหมือนจะอบอวลชวนแสบตาเป็นระยะๆ ก่อนที่สายตาของผมจะเริ่มปรับตัวให้เข้ากับแสงที่สลัวๆนี้ได้
ยังดีที่ภายในอุโมงค์แห่งนี้ยังมีหลอดไฟขนาดเล็กนำทางให้การเดินด้วยสองลำแข้งไม่ต้องระมัดระวังมากนัก ผมจึงมีโอกาสให้สายตาข้างหนึ่งได้มองผ่านเลนส์และเก็บภาพต่างๆได้อย่างสบาย
ต้นอุโมงค์ดูมืดมิดเหมือนถูกผนึกปิดไว้ด้วยกำแพงหนา
บางทีความมืดก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวเสมอไป
ทุกครั้งที่ม่านหมอกความมืดเริ่มเข้ามาปกคลุม สายตาของเราจะเริ่มพล่ามัว อีกทั้งหัวใจจะเริ่มตอบโต้โดยการปิดกั้นตัวเองออกจากทุกสิ่งทุกอย่าง รวมทั้งจากทุกๆคนที่เราเคยรู้จัก
หลายวันมานี้เพื่อนที่มีชื่อว่าความมืดมิดก็เคยเข้ามาเยี่ยมเยือนผมเช่นกัน เขาพยายามสอนให้ผมรู้จักการยอมรับมากกว่าการยอมแพ้ เขาบอกกับผมว่าเมื่อถึงเวลาที่พอเหมาะแสงนั้นจะส่องทางด้วยตัวของมันเอง เหมือนดั่งแสงสว่างที่รอคอยอยู่ ณ ปลายอุโมงค์
ผมพยายามหลับตาข้างหนึ่งเพื่อขยิบตาอีกข้างหนึ่งตามคำบอกกล่าวที่เพื่อนคนนี้ฝากเอาไว้ก่อนจะเดินลับไป
ภาพที่ปรากฏยังคงมืดสนิทเหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง หรือหัวใจดวงนี้ถึงคราที่จะต้องยกธงขาวโบกรับความพ่ายแพ้แทนการยอมรับ คล้ายความมืดมิดได้เกาะกินหยั่งลึกเกินกว่าจะเยียวยาแล้วหรือ
ไม่นานนักก็มีเงาเล็กๆขยับเขยื้อนผ่านหน้าผ่านตาผมไป ทันใดนั้นก็มีเสียงวัตถุหล่นกระทบกับพื้น ผมก้มกลับไปมองวัตถุนั้นก่อนที่จะหยีตาข้างซ้ายมองตามไปข้างหน้าอีกครั้ง แปลกจริงที่ความมืดนั้นกลับหายไป แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์นั้นมีอยู่จริง
ผมชักเริ่มเข้าใจความหมายที่เพื่อนคนนี้เคยบอกไว้
ปลายอุโมงค์จะมีแสงสว่างที่สวยงามเสมอ
แค่ผมไม่ลืมเปิดฝาเลนส์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น