Beyond Creative, We do

FB:Theexplorerphotographer

test

วันอาทิตย์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

RUN ME TO THE MOON



(1)
"จงออกจากบ้านอันเป็นรวงรังอันแสนอบอุ่นของเจ้าเสียเถิด เพื่อเดินทางออกไปค้นพบกับความอัศจรรย์ที่ตั้งตระหง่านรออยู่เบื้องหน้า ทิวเขาลำเนาไพรที่ส่งเสียงร้องเรียกเพรียกหานักเดินทางผู้ยอมจากลา จากดินแดนถิ่นสถานที่อันคุ้นเคยสู่ความห้าวหาญอันเกรียงไกร ในสถานที่ไม่มีแม้ใครจะรู้จักตัวเธอ"

บทเขียนอาขยานข้างต้นถูกจดลงไปบนหน้ากระดาษที่ว่างเปล่าในครานั้น

ในวันวัยที่เกือบจะล่วงเลยเลขหลักสามมานิดๆ แต่ชีวิตยังคงจมอยู่กับความคิดที่จะเปลี่ยนที่ทำงานจากที่นู้นที เบื่อหน่ายผู้คนก็ออกไปหาที่ใหม่ แต่แล้วสุดท้ายก็กลับมาเบื่ออีกครั้งกับความจำเจจำทนจนได้ คิดไปคิดมาอีกสองตลบ นี่เราก็ยังไม่มีอะไรเป็นหลักเป็นฐานเหมือนเพื่อนๆคนอื่นเลย บางคนก็ก้าวเข้าสู่ห้องวิวาห์ ผลิตลูกออกหลานมาให้อุ้มเล่นกันพักใหญ่แล้ว และดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่เคยอิดออดพร่ำบ่นเรื่องงานการกันเสียจริงๆ

จะว่าแปลกก็แปลก เพราะผู้คนส่วนใหญ่ที่ผมพบเจอในที่ทำงานนั้น ต่างก็ดูเหมือนจะมีความสามารถกันอย่างเก่งฉกาจ จับตรงนู้นมาออกแบบโปรแกรมตรงนี้เพื่อให้ทุกคนทำงานได้ง่ายขึ้น แถมบางทีก็เจอเซลล์เก่งๆที่หอบค่าคอมกลับบ้านกันเป็นหมื่นๆต่อเดือน จะว่าไปแล้ว ถ้าเอาคนพวกนี้มารวมร่างกัน บริษัทที่ได้ตัวคนๆนี้ไปคงอิ่มเอมใจขึ้นอีกโข

แต่ถึงอย่างไรมนุษย์ก็ย่อมมีขีดจำกัดที่จะทานทนต่อความกดดัน ใช่ครับ ผมกำลังส่งสัญญาณให้ตัวเองในวัยสามสิบรู้เท่าทันสถานการณ์ในอนาคตอันใกล้ ชีวิตในวันนี้ดูเหมือนจะโดนกดดันด้วยความคาดหวังจากผู้คนรอบข้างจนเกือบจะลืมการแก้ไขปัญหาให้ตัวเอง ถึงจะเก่งกาจแค่ไหน ถ้ามีปริมาณงานกับเวลาที่บีบคั้นมากำหนด ผลงานที่สร้างสรรค์ออกมามันคงดูไม่ดีเท่าไรเป็นแน่ ลองเปรียบเทียบผลไม้ที่มันพยายามจะสุกด้วยตัวมันเองกับผลไม้ที่บ่มด้วยแก๊ซดูซิครับ รสชาติของมันอาจจะไม่ได้เหมือนกันซะทีเดียวก็ได้ แล้วถ้ามันยิ่งถูกอัดแก๊ซไปมากเท่าไร ความร้อนที่ถูกสั่งสมมาตลอด อาจจะทำลายตัวมันเองก็ได้ ถ้าหากไม่รู้จักดูแลบ่มเพาะอารมณ์และความรู้สึกของตัวเองให้ดี

พวกเราก็คงไม่ต่างกันที่ต้องถูกบีบคั้นโดยผู้คนที่ตำแหน่งใหญ่ พวกเขาคาดหวังว่าผลงานที่ออกมาต้องคุ้มค่าเกินกว่าปริมาณค่าใช้จ่ายที่บริษัทแลกไป หลายคนอาจจะยังไม่เข้าใจ ว่าในทุกๆวันเราขายไอเดียเพื่อแลกกับเงินที่จ่ายกลับมาเป็นประจำทุกเดือน หากวันไหนไอเดียขาด-ความสามารถหมด-ประสบการณ์และความจงรักภักดีที่สั่งสมมา ก็ไม่อาจเหลือค่าเอาไว้ให้ใครได้เชยชม

(2)
บ่อยครั้งที่ผมมีโอกาสที่ได้แชร์เรื่องราวชีวิตอันแสนกดดันกับพี่ที่มีประสบการณ์ต่างแผนก ในวัยของคุณพี่ที่เกือบถึงหลักสี่ ย่อมต้องผ่านเรื่องราวมามากมายกว่าผม อดทนแล้วอดทนเล่าที่คำปฏิญาณที่เขาจำต้องท่องเอาไว้ให้ขึ้นใจและอุทิศตน เพื่อความผาสุกและผลประโยชน์ของบริษัท เขาจำต้องพิชิตเป้าหมายยอดขายอันสูงลิบขึ้นทุกปี ที่หัวหน้าใหญ่ตั้งเป้าหมายแบบมโนภาพจากจินตนาการนั้นมาให้ได้

บ่อยครั้งที่พอเอาตัวเลขการเติบโตของบริษัทมาคิดกับผลตอบแทนที่เราได้รับก็ช่างใจหาย บริษัทเติบโตเป็นหลักล้านแต่พนักงานกลับได้แค่หลักร้อย ความกดดันปนความเกลียดชังจึงยิ่งก่อตัวเป็นคีลอยด์ แผลเป็นที่เกิดขึ้นจากเชื้อร้ายย่อมติดตัวไปจนกว่าจะหาทางออกได้ด้วยตัวเอง

"ในวันวัยสี่สิบผมควรนึกถึงอะไรเป็นอันดับแรก" หนึ่งในคำถามที่ถูกสอดแทรกมาในบทสนทนาแสกหน้ามายังผม ผมควรนึกถึงสภาพกรรมาชนที่เหนื่อยล้าหรือคิดถึงภาพอิสรชน พี่วัยหลักสี่บอกกับผมว่า "เธอยังมีเวลาและโอกาสอีกสิบปีที่จะล้มลุกหรือค้นพบความต้องการของตัวเอง"


ผมค่อยๆสวนกลับทันควันเมื่อเห็นสีหน้าคุณพี่เริ่มกังวลกับอายุวัยสี่สิบ "หากวันนี้พี่ยังคิดว่าพี่แก่ ห้าสิบพี่ก็ไม่ได้ออกเดินไปไหน การมีตัวตนอยู่ในทุกวันนี้ ก็เพราะพี่ขายไอเดียเพื่อแลกกับเป้าหมายของพวกเขาไง จะสามสิบ-สี่สิบ-หรือหกสิบในวัยเกษียณ เราก็ยังต้องขายไอเดียแลกกับเงินมาอยู่ดี"

ผมแอบทิ้งท้ายด้วยการแนะนำให้พี่วัยสี่สิบลองกลับไปแบ่งข้อดี-ข้อเสียของการตัดสินใจในครั้งนี้ดูอีกครั้ง แถมแอบเหน็บแนมไปว่า "แต่พี่ต้องเขียนข้อดี-ข้อเสียให้เกินหนึ่งกระดาษเอสามไปเลยนะ เขียนจนกว่าจะคุยกับตัวเองจนเข้าใจ ถามความต้องการของหัวใจตัวเองให้พบกับคำตอบที่ไม่ต้องมาค้างคา เส้นทางที่รอคอยอยู่ข้างหน้ามันไม่ยากเกินไปหรอก หากตัดใจได้จากรวงรังอันแสนอบอุ่นแห่งนี้ ที่บริษัทสัญญาได้เพียงแค่ จะส่งมอบเงินตอบแทนแลกกับความสามารถในวันที่เรายังคงมอบสิ่งแลกเปลี่ยนให้แก่กันได

(3)
กลับมาสู่โลกที่มีแต่หมอกบังตาอีกครั้ง การเดินทางในช่วงสุดสัปดาห์สั้นๆบนดอยอ่างขาง ทำให้ผมได้ค้นพบทางเดินสายใหม่ แค่เพียงสูดอากาศดีๆ พบปะและพูดคุยกับผู้คนที่น่ารัก ก็เหมือนได้ออกซิเจนเข้ามาฟอกความรู้สึกแย่ๆให้เปลี่ยนแปลงไป เพียงหลงเหลือทิ้งเอาไว้แต่สารที่คัดกรองความสุข เพื่อให้ชีวิตได้เดินหน้าต่อไปอย่างอิ่มเอมใจ

ลงมาจากดอยได้ไม่นาน หญิงสาวของผมก็นัดเพื่อนให้พาไปเที่ยวในตัวเมืองจังหวัดเชียงใหม่ ตลอดทางที่เพื่อนซี้คนนี้ต่างหยอกล้อคุยกันอย่างสนิทสนม ทว่าผมได้กักเก็บข้อมูลบางอย่างระหว่างการเดินทาง

เพื่อนซี้คนนี้ทำงานเป็นเกษตรกรอยู่ที่เชียงใหม่ หน้าที่หลักๆคืองานบริหารพืชไร่พืชสวน ตัดแต่งกิ่ง เสริมก้าน ต่อใบและติดตา ความเปลี่ยนแปลงอันเชื่องช้าของพืชผลคือความสำเร็จที่เขานั้นรอคอย ปลูกดอกเก๊กฮวยมาเป็นผลิตผลในกลิ่นใบชา วิชาเกษตรผนวกรวมกับความคิดสร้างสรรค์ชวนให้เกิดเป็นผลผลิตอันทันสมัย ความสุขเล็กๆน้อยๆเกิดขึ้นเมื่อลงมือทำสิ่งที่ต้องการด้วยหัวใจ ยิ่งฟูมฟักทะนุถนอมงานด้วยความใส่ใจ ผลิตผลจึงออกมาให้เชยชมอย่างงดงาม

นั่งคุยหยอกล้อกันได้สักพัก รถของเราก็มาหยุดอยู่ที่ร้านอาหาร "โอ้กะจู๋" ที่สันทราย ภายนอกออกแบบคล้ายร้านอาหารเรือนไม้ทั่วๆไป แต่ด้านหลังกลับกลายเป็นแปลงผักออร์แกนิคขนาดใหญ่ ที่สร้างผลิตผลให้เราได้กิน ผมและหญิงสาวเริ่มสั่งสเต็กมาคนละจาน ทว่าสลัดผักที่เรียงรายมานั้นดูจัดจ้านน่าทานกว่าเนื้อคู่นั้นเป็นไหนๆ พอมองออกไปแล้วเห็นแปลงผักปลอดสารพิษก็ชวนให้ทานแล้วรู้สึกปลอดภัย ความใส่ใจในคุณภาพของผลิตผลคือความคิดสร้างสรรค์ที่ออกมาจากใจของอู๋กับโจ้ เจ้าของที่นี่นี่เอง

นั่งคุยไปคุยมากันสองนาน ผมเพิ่งจะรู้ว่า อู๋กับโจ้ เป็นเพื่อนของเพื่อนซี้ของหญิงสาว การที่เราได้มานั่งทานที่นี่ก็เพราะอภิสิทธิที่เหนือกว่าการจองไหนๆ ผมค่อยๆเปิดเมนูเพื่อศึกษาประวัติแปลงผักแห่งนี้ดูอีกครา จากแปลงผักออร์แกนิคสู่ร้านอาหารชื่อดังที่คนที่มาเชียงใหม่นั้นต่างต้องมาเพราะผลิตผลจากแปลงผักแห่งนี้นี่เอ

อู๋กับโจ้ทำเกษตรด้วยใจรัก ผนวกกับความคิดสร้างสรรค์ ที่อยากจะปลูกผักปลอดสารพิษให้ทุกคนได้ทาน ความสำเร็จเล็กๆในวันนี้คือสิ่งที่พวกเราต่างฟูมฟักมานาน ไม่ว่าเขาหรือเราเองนั้นก็ต่างมีสิทธิที่จะเลือกปลายทางชีวิตให้ตัวเอง

หากจะต้องวิ่งออกไปจนกว่าจะถึงฝัน ก็ขอให้มันเป็นดวงจันทร์ที่กระต่ายอย่างเราหมายมั่นมันเอาไว้เอง

(4)
"ดูเหมือนช่วงเวลานี้จะสายเกินกว่าจะหลับตาแล้วล้มลงนอน ทว่าสายหมอกยังคงตั้งเค้าครึ้มชวนให้ทัศนียภาพไม่ชัดเจนอย่างเช่นเคย วิวเขาถูกระบายไปด้วยเมฆหมอกที่มิอาจให้เราได้มองเห็นวิวมุมสูงอย่างเต็มสองตา ทะเลหมอกเช้านี้ที่วาดฝันเอาไว้คงเหลือเอาไว้เพียงแต่ภาพความทรงจำ" 
บางทีชีวิตก็พาให้เรามาพบกับผู้คนหลายรูปแบบ บางคนเลือกที่จะใช้ชีวิตแบบเดิมๆไปจนแก่โดยไม่เลือกออกเดินไปไหน อาจเป็นเพราะรวงรังที่เขาอยู่มันช่างแสนอบอุ่นและปลอดภัยในหนึ่งช่วงกาลเวลา พอเอาเข้าจริง เมื่อถึงฤดูอพยพย้ายถิ่นมาถึง พวกเขาก็จำต้องยอมทนหนาวไปเสียจนกว่าฤดูร้อนครั้งหน้าจะกลับมาเยือน

ส่วนผู้คนอีกประเภทหนึ่งนั้นต้องการเป็นอิสรชนมากกว่ากรรมาชน สร้างไอเดียเพื่อออกดอกผลิตผลและเสริมสร้างคุณค่าจากงานที่รัก จากสิ่งเล็กๆน้อยๆสู่ความยิ่งใหญ่ด้วยสองมือที่ประสานกัน จนเกิดเป็นธุรกิจย่อมๆที่เป็นที่รู้จักไปไกล เราหวังเพียงจะเป็นหนึ่งในที่ทำงานอันยิ่งใหญ่ หรือต้องการจะสร้างตำนานให้แก่บริษัทที่มีชื่อว่าตัวเอ

ความอัศจรรย์ของเมฆหมอกอาจถูกซ่อนเอาไว้หลังทิวเขา เหล่าอิสรชนผู้หาญกล้าจำต้องออกจากรวงรังเพื่อเดินหน้าสู่ทิวเขาที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า เดินบ้าง ล้มบ้าง ลุกบ้าง หรือจะออกวิ่งอย่างเต็มกำลังใจ หากมั่นใจแล้วว่าหนทางข้างหน้านั้น "ใช่" ก็ขอให้รีบก้าวเดินไปเถิด เพราะสุดท้ายแล้วเมฆหมอกที่บังตาจะคลี่คลายเมื่อเราค้นพบลำแสงแห่งศรัทธา ที่กำลังโปรยลำแสงลงอยู่หลังม่านหมอกตรงหน้า เมื่อนั้นทางสว่างจะเปิดออกให้เราได้เห็นสิ่งที่ต้องการอันแท้จริงจากหัวใจตัวเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

มิงกะลาบา ความหวังใหม่ใต้เปลือกตา

มิงกะลาบา ความหวังใหม่ใต้เปลือกตา

ล้านนาแค่ขยิบตา

ล้านนาแค่ขยิบตา
บันทึกการเดินทางจำนวนสิบสี่ตอนที่จะเปลี่ยนมุมมองทุกการเดินทางให้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

Ads

Most Popular